สังคม ป.5 หน่วยที่ 2 นิทานชาดก

สังคม ป.5 หน่วยที่ 2 นิทานชาดก
พระพุทธเจ้าเมื่อจะทรงสอนใครแต่ละครั้ง พระองค์ก็ทรงอาศัยองค์ประกอบหลายๆอย่าง ในการสอนบุคคลระดับต่างๆ ที่มีพื้นฐานความรู้ สติปัญญาที่แตกต่างกัน พระองค์ได้ประยุกต์คำสอนแต่ละลักษณะให้มีความเหมาะสม เป็นการสอนที่แสดงถึงพุทธลีลาของพระองค์ ที่สำคัญการสอนในลักษณะนี้ของพระองค์ เป็นการนำเนื้อหาที่มีอยู่มาทำการตีความ โดยอาศัยข้อมูลที่มีอยู่ตามสถานการณ์ต่างๆที่เกิดขึ้น แล้วนำเข้าสู่หลักการที่ถูกต้อง ตามคำสอนทางพระพุทธศาสนา


เรื่อง จูฬเสฏฐิชาดก


จุลลกเศรษฐี-ชาดกว่าด้วยความฉลาดในการสร้างฐานะ

มานพหนุ่มผู้มีปัญญาในการสร้างฐานะ และได้แต่งงานกับธิดาจุลลกเศรษฐี
มานพหนุ่มผู้มีปัญญาในการสร้างฐานะและได้แต่งงานกับธิดาจุลลกเศรษฐี
    ในสมัยพุทธกาลขณะที่องค์พระบรมศาสดาทรงสอดส่องพระพุทธญาณ ณ วัดชีวกัมพวัณ กรุงราชคฤห์เพื่อโปรดเวไนยสัตว์ผู้ตกทุกข์ดังที่ทรงบำเพ็ญอยู่เป็นนิจ พลันสายพระเนตรทรงเห็นภิกษุหนุ่มจุลลปัณฐกะที่ท้อถอยสิ้นความเพียร เนื่องด้วยมีสติปัญญาทึบ
ภิกษุหนุ่มจุลลปัณฐกะ ที่ท้อถอยสิ้นความเพียร เนื่องด้วยมีสติปัญญาทึบ
ภิกษุหนุ่มจุลลปัณฐกะที่ท้อถอยสิ้นความเพียร เนื่องด้วยมีสติปัญญาทึบ
    “เฮ้อ..ทำไมเราถึงได้ด้อยปัญญาเช่นนี้นะ ไม่บรรลุธรรมซะที สึกซะดีกว่า”  พระพุทธองค์จึงทรงเสด็จไปรอภิกษุองค์นี้ที่ซุ้มประตูวัด เทศนาสั่งสอนแล้วทรงเนรมิตผ้าขาวให้ผืนหนึ่ง “เจ้าจงบริกรรมภาวนาและลูบคลำผ้าขาวนี้อย่าได้ว่างเว้น”

พระพุทธองค์ทรงเสด็จไปโปรดภิกษุจุลลปัณฐกะที่ซุ้มประตูวัด
    จากนั้นพระพุทธองค์ก็เสด็จจากไปทิ้งพระหนุ่มไว้ผู้เดียว ภิกษุหนุ่มได้เจริญภาวนาและลูบคลำผ้าขาวตามคำสั่งของพระพุทธองค์ได้มิว่างเว้น มิช้านานผ้าขาวนั้นก็คล้ำมอ พระหนุ่มจึงเกิดความคิด “สังขารเป็นสิ่งไม่เที่ยงแท้สัมผัสแต่สิ่งสกปรก ฮ้า..”

ภิกษุหนุ่มได้เจริญภาวนาและลูบคลำผ้าขาวตามคำสั่งของพระพุทธองค์
    วาระนั้นพระพุทธเจ้าทรงทราบด้วยพระญาณจึงเปล่งพุทธวาจากับภิกษุหนุ่มได้ยินดุจประทับตรงหน้า “ผ้านั้นเศร้าหมองด้วยธุลีฉันใด ใจของคนเราก็ฉันนั้น เจ้าจงชำระธุลีแห่งจิตใจ คือราคะ โทสะ โมหะ ทั้ง 3_ประการนี้ออกเสียให้สิ้นเถิด”
ทั่วสังฆมณฑลกล่าวขานพระคุณ ของพระพุทธองค์กันถ้วนหน้า
ทั่วสังฆมณฑลกล่าวขานพระคุณของพระพุทธองค์กันถ้วนหน้า
    รุ่งขึ้นสังฆมณฑลก็ขานพระคุณพระพุทธองค์กันถ้วนหน้า ด้วยเหตุที่เปลี่ยนพระปัญญาทึบให้บรรลุธรรมได้ชั่วยามหนึ่ง “ในกาลอดีตตถาคตก็เคยช่วยเขาให้เกิดปัญญาสร้างฐานะมาแล้ว เดี่ยวเราจะเล่าให้ฟัง ย้อนไปในอดีตกาลกรุงพาราณสีที่รุ่งเรืองและคับคั่งไปด้วยการค้าพาณิชย์

กรุงพาราณสีที่รุ่งเรืองและคับคั่งไปด้วยการค้าพาณิชย์
    กล่าวกันว่ากรวดทรายกลางถนน ณ ที่แห่งนี้ดุจทองคำและอัญมณีหากใครจะมีปัญญาหยิบเอาไป เศรษฐีผู้หนึ่งนามจุลลกะท่านเป็นบัณฑิตผู้คาดการใดไม่เคยพลาด ด้วยความสามารถในวิชานิมิตพยากรณ์ วันหนึ่งท่านเศรษฐีผู้นี้ได้นั่งรถม้าผ่านกลางใจเมืองเห็นหนูตายอยู่บนพื้นตัวหนึ่ง
จุลลกะเศรษฐีผู้เป็นบัณฑิต คาดการสิ่งใดไม่เคยพลาด
จุลลกะเศรษฐีผู้เป็นบัณฑิตคาดการสิ่งใดไม่เคยพลาด
ท่านพินิจดูแล้วก็ทำนายออกมา “หากใครมีปัญญาย่อมสามารถนำหนูตายนี้ไปเป็นทุนให้เจริญรุ่งเรื่องได้” มานพหนุ่มคนหนึ่งได้ยินคำที่เศรษฐีบัณฑิตกล่าว ด้วยความศรัทธาจึงเก็บหนูตายนั้นไว้ แล้วเขาก็พบกับป้าใจบุญคนหนึ่ง “พ่อหนุ่มหนูตายตัวนั้นนะ ป้าขอซื้อได้มั๊ย ป้าจะเอาไปให้แมวป้ากิน” “ด้วยความยินดีจ๊ะป้า”
ซากหนูตายบนพื้นถนน
ซากหนูตายบนพื้นถนน
    แล้วมานพหนุ่มก็ได้เงินมา 1 กากนึก จากซากหนูตาย ซึ่งเป็นเงินเพียงน้อยนิดเหลือเกิน จากนั้นเขาก็นำเงินที่ได้ไปซื้อน้ำอ้อยจากไร่เพื่อมาไว้บริการคนเก็บดอกไม้ที่กลับมาจากป่า “ท่านกลับมาจากการเก็บดอกไม้คงเหน็ดเหนื่อยกันแล้ว ดื่มน้ำอ้อยให้ชื่นใจเถิด”
มานพหนุ่มเก็บซากหนูตาย และได้ขายต่อให้หญิงผู้เลี้ยงแมว
มานพหนุ่มเก็บซากหนูตายและได้ขายต่อให้หญิงผู้เลี้ยงแมว
"โอ้ว ชื่นใจเหลือเกิน เจ้าเอาดอกไม้เนี่ยไปเป็นการตอบแทนน้ำใจที่เจ้ามีต่อพวกเราแล้วกัน” ชายหนุ่มนำดอกไม้ที่ได้ไปขาย พอได้เงินมาวันรุ่งขึ้นเขาก็นำเงินไปซื้อน้ำอ้อยอีก ครั้งนี้เขาลงทุนนำเข้าไปบริการถึงในป่า ซึ่งทำให้เขาได้ดอกไม้มามากยิ่งขึ้น

มานพหนุ่มซื้อน้ำอ้อยจากไร่เพื่อมาไว้บริการคนเก็บดอกไม้ที่กลับมาจากป่า
    ชายหนุ่มปฏิบัติเช่นนี้อยู่ทุกวัน จนกระทั่งวันหนึ่งในต้นฤดูฝนพายุพัดแรงจนกิ่งไม้หักโค่นเกลื่อนอุทยาน มานพหนุ่มจึงใช้ปัญญาที่ชาญฉลาดอาสาขนกิ่งไม้เหล่านั้นออกมา “อ้าว เด็กๆ มาช่วยชั้นขนกิ่งไม้เหล่านี้หน่อยแล้วจะให้น้ำอ้อยเป็นรางวัล” “เย้ ช่วยกันขนเร็วพวกเราจะได้กินน้ำอ้อยให้ชื่นใจไปเลย ขนๆๆๆ”

มานพหนุ่มซื้อน้ำอ้อยเข้าไปบริการคนเก็บดอกไม้ถึงในป่า
    มานพหนุ่มนำกิ่งไม้เหล่านั้นไปขายเป็นฟืนให้กับชายปั้นหม้อ ซึ่งครั้งนี้เขาได้เงินถึง 16 กหาปณะ กับโอ่งขนาดใหญ่อีก 1 ใบ ด้วยน้ำใจอันดีงามเขาจึงนำโอ่งใบนั้นไปใส่น้ำให้เหล่าคนเกี่ยวหญ้าของพาราณสีได้ดื่มกินกัน
มานพหนุ่มอาสาขนต้นไม้ ที่หักโค่นจากลมพายุ
มานพหนุ่มอาสาขนต้นไม้ที่หักโค่นจากลมพายุ
    ทุกคนซาบซึ้งในน้ำใจของเขาและพร้อมจะให้ความช่วยเหลือทุกครั้งที่เขาต้องการ ถัดจากนั้นอีกไม่กี่วัน มีกองม้าถึง 500_ตัวเข้ามายังพาราณสี ชายหนุ่มจึงขอจองหญ้าจากคนเกี่ยวหญ้าเหล่านั้นไว้ทั้งหมด “ท่านเป็นเจ้าของหญ้าทั้งหมดนี้ใช่หรือไม่ ข้าขอซื้อหญ้าให้ม้าข้ากินหน่อยเถอะ”

พ่อค้าฟืนมอบโอ่งให้มานพหนุ่ม 1 ใบ
“หญ้าทั้งหมดในละแวกนี้เป็นของข้าเอง” ชายหนุ่มได้เงินจากการขายหญ้าทั้งหมด 1000 กหาปณะ แล้วโอกาสในการลงทุนก็เข้ามาหาเขาเอง วันหนึ่งมีเรือสำเภาบรรทุกสินค้าเข้ามาทอดสมอ ชายหนุ่มเห็นเรือเหล่านั้นก็เกิดปัญญาในการลงทุนรีบแต่งกายภูมิฐานแล้วไปเช่ารถม้า
มานพหนุ่มซื้อหญ้าทั้งหมด จากคนเกี่ยวหญ้าเพื่อนำไปขายต่อ
มานพหนุ่มซื้อหญ้าทั้งหมดจากคนเกี่ยวหญ้าเพื่อนำไปขายต่อ
“ลุงข้าขอเช่ารถม้าที่แพงที่สุด” “ได้เลยจ้าพ่อหนุ่ม” มานพหนุ่มได้นำเงินทุนที่มีทั้งหมดไปวางมัดจำสินค้าในเรือบรรทุกสินค้าเหล่านั้นทุกชิ้น “อะไรนะ สินค้าเหล่านี้ถูกท่านจองไว้หมดแล้วเหรอ” “ใช่ถ้าพวกท่านต้องสินค้าไปขายท่านก็ต้องซื้อจากข้า” ภายในวันเดียวชายหนุ่มเจ้าปัญญาก็สามารถหาเงินสดได้ถึง 2 แสน กหาปณะ
มานพหนุ่มวางเงินจองสินค้า ทุกชิ้นในเรือบรรทุกสินค้า
มานพหนุ่มวางเงินจองสินค้าทุกชิ้นในเรือบรรทุกสินค้า
    มานพหนุ่มที่เคยเป็นแค่ชายข้างถนน มาบัดนี้ได้กลายเป็นเศรษฐีและด้วยความกตัญญูรู้คุณ เขาจึงนำเงิน 1 แสน กหาปณะ ไปกราบขอบคุณท่านจุลลกะเศรษฐีผู้ที่ทำให้เขาได้เงินมามากมายจากการเก็บหนูตายบนถนนแค่เพียงตัวเดียว “เจ้าช่างมีน้ำใจดีงามและช่างเป็นคนกตัญญูรู้คุณ

มานพหนุ่มกราบขอบคุณท่านจุลลกะเศรษฐี
  
    ด้วยความดีของเจ้า ข้าจะยกลูกสาวของข้าให้เจ้า ช่วยดูแลลูกสาวของข้าแทนข้าด้วยนะ เหอะๆ” ในกาลต่อมาจุลลกะเศรษฐีก็ได้สิ้นชีวิตไปตามยถากรรม มานพหนุ่มจึงได้แต่งงานครองคู่กับลูกสาวผู้เป็นทายาทเพียงคนเดียวของจุลลกะเศรษฐีอย่างมีความสุขและได้ครอบครองสมบัติทั้งหมดของจุลลกะเศรษฐีสืบต่อไป
มานพหนุ่มได้แต่งงานกับลูกสาว ผู้เป็นทายาทเพียงคนเดียว ของจุลลกะเศรษฐี
มานพหนุ่มได้แต่งงานกับลูกสาวผู้เป็นทายาทเพียงคนเดียวของจุลลกะเศรษฐี
อปฺปเกนปิ เมธาวี ปาภเฏน วิจกฺขโณ    สมุฏฐาเปติ อตฺตานํ อณุ อคฺคีว สนฺธนํ
คนมีปัญญาเฉลียวฉลาด ย่อมตั้งตนได้ด้วยทุนแม้น้อย
ดุจคนก่อไฟน้อยๆ ให้เป็นกองใหญ่ฉะนั้น

มานพในครั้งนั้น ต่อมาคือ พระจุลลปันถก
จุลลกเศรษฐีครั้งนั้น คือ พระชาติหนึ่งของพระพุทธเจ้า











ผลการค้นหารูปภาพสำหรับ ภาพวัณณาโรหชาดก 

เรื่อง วัณณาโรหชาดก

วัณณาโรหชาดก หมาจิ้งจอกช่างยุ

         ยังมีราชสีห์กับเสือโคร่งคูหนึ่ง สัตว์ทั้งสองเป็นเพื่อนกัน อาศัยอยู่ในถ้ำเดียวกัน และผลัดเปลี่ยนกันออกไปหาเหยื่อมาแบ่งกันกิน เสมอๆ ทั้งสองอยู่กันด้วยดีตลอดมาไม่มีปัญหาอะไร อยู่มาไม่นานมีหมาจิ้งจอกผอมโซตัวหนึ่งเที่ยวหาเหยื่อไม่ได้อะไรกิน เห็นเศษอาหารที่ราชสีห์กับเสือโคร่งกินเหลือไว้ จึงกินประทังหิว แล้วเกิดความคิดว่าเราจะมัวไปเที่ยวหาเหยื่อให้เหนื่อยทำไม คอยกินเดนอาหารของราชสีห์กับเสือโคร่งนี่ก็พออยู่ได้แล้ว จึงฝากเนื้อฝากตัวขออาสาคอยรับใช้ ราชสีห์และเสือโคร่งเกิดความสงสารจึงยอมให้อยู่ด้วย
       ถึงแม้หมาจิ้งจอกจะได้กินเพียงเศษอาหาร แต่กลับเป็นอาหารดีๆ มันจึงมีร่างกายอุดมสมบูรณ์และใหญ่โตมากกว่าหมาจิ้งจอกทั่วไป ทำให้มันคิดละโมบโลภมากอยากจะลองกินเนื้อราชสีห์กับเสือโคร่งดูบ้างรสชาติจะอร่อยสักเพียงไหน จึงออกอุบายแหย่ให้ราชสีห์กับเสือโคร่งผิดใจกัน เริ่มจากไปแกล้งเป่าหูราชสีห์ว่า เสือโคร่งได้ดูหมิ่นเหยียดหยามท่านว่า มีลักษณะสูงใหญ่ ด้อยกว่า ขนผิวพรรณด้อยกว่า ชาติกำเนิดด้อยกว่า กำลังกายด้อยกว่า มีความพากเพียรด้อยกว่า ราชสีห์ไม่เชื่อว่าเสือโคร่งจะดูหมิ่นตนเช่นนั้น จึงไล่ตะเพิดมันไป


            ฝ่ายหมาจิ้งจอกผละจากราชสีห์ก็รบไปหาเสือโคร่งเสแสร้งยุแยงเหมือนเดิม เสืโคร่งฟังแล้วไม่พอใจจึงเผ่นโผนโจนเข้าหาราชสีห์ ถามว่าพูดอย่างนั้นจริงหรือเปล่า ราชสีห์มีอาการสงบนิ่งแล้วกล่าวตอบว่า "เพื่อนเอ๋ย! ถ้าท่านจะทำร้ายเราผู้อยู่กับท่านมานานปี เราก็ไม่อาจอยู่ร่วมกับท่านได้อีกต่อไป ผู้ใดเชื่อถือคำของคนอื่น ผู้นั้นจะต้องพลันแตกจากมิตร จะมุ่งแต่ความแตกร้าว จ้องจับผิด ผู้นั้นไม่ชื่อว่ามิตร แต่ผู้ใดไม่ประมาททุกขณะ ใครเขามายุแหย่ก็ไม่แตกกัน ไม่ระแวงกัน นอนอยู่ด้วยกันอย่างปลอดภัย ผู้นั้นชื่อว่าเป็นมิตรแท้" เสือโคร่งได้ฟังคุณของมิตร และโทษของการหูเบาเชื่อง่ายจากราชสีห์แล้ว ก็รู้สึกสำนึกตัวคลายความแคลงใจ กล่าวคำขอโทษราชสีห์ขอให้อภัยตนด้วย จากนั้นสัตว์ทั้งสองก็รักใคร่ปรองดองอยู่ร่วมกันอย่างเป็นสุขเช่นเดิม
ธรรมนิทานชาดกเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า
"อย่าหูเบา ใจเบา เชื่อเขาง่าย"
พุทธศาสนสุภาษิตประจำเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า
วิสฺสาสา ภยมนฺเวติ เพราะความไว้วา่งใจภัยจึงมา




แบบทดสอบ